ผู้ตรวจการแผ่นดินลงพื้นที่จังหวัดเลย สอบปมปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2567 นายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดินแผ่นดิน พร้อมด้วยหม่อมหลวง ปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน นายทิฆัมพร ยะลา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
นายสิริน ชาวเพ็ชรดี ผู้อำนวยการสำนักสอบสวน 3 และคณะ ลงพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลปลาบ่า อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย เพื่อประชุมแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนกรณีการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ในพื้นที่หมู่ที่ 5 ตำบลปลาบ่า อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ร่วมกับนายกิตติคุณ บุตรคุณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย นางสาวภูมารินทร์ คงเพียรธรรม นายอำเภอภูเรือ นายวิรัตร ศรีบุรินทร์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลปลาบ่า และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานที่ดินจังหวัดเลย สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเลย สำนักงานธนารักษ์พื้นที่เลย ศูนย์ดำรงธรรม ตลอดจนกำนัน – ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ซึ่งที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ เป็นที่ดินรกร้างที่มีต้นยูคาลิปตัส และมีสระน้ำเนื้อที่ประมาณ 1 งาน ซึ่งประชาชนในหมู่บ้านเรียกว่าสระน้ำบ้านตาดสาน และอ้างว่าเป็นสระน้ำสาธารณประโยชน์ของหมู่บ้าน ต่อมามีผู้อ้างสิทธิในที่ดินนี้ว่าเป็นที่ดินของบิดาตกทอดมาสู่ตน จึงได้เข้าดำเนินการถมดินในสระน้ำ ทำให้เกิดการร้องเรียนมายังผู้ตรวจการแผ่นดิน

จากการประชุมหารือและลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในวันนี้ พบว่า อำเภอภูเรือได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อทราบถึงประวัติและขอบเขตของที่ดินแปลงดังกล่าว พร้อมรวบรวมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยเบื้องต้นไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าสระน้ำบ้านตาดสานได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์ และธนารักษ์พื้นที่เลยแจ้งว่าที่ดินดังกล่าวยังไม่มีการขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุเช่นกัน แต่เนื่องจากเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องยังระบุไม่ตรงกันชัดเจน จึงยังมิอาจให้ข้อสรุปได้ว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ อีกทั้งผู้ถูกร้องเรียนยืนยันว่าเป็นที่ดินที่ตกทอดกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ซึ่งความชัดเจนในส่วนนี้ยังมีความซับซ้อนอยู่มาก ข้อเท็จจริงจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ ซึ่งหลังจากที่ได้หารือและรับฟังทุกฝ่าย ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงมีข้อเสนอแนะให้จังหวัดเลยอาศัยระเบียบของกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการสอบสวนที่เกี่ยวกับการบุกรุกที่หรือทางสาธารณประโยชน์ ปี พ.ศ. 2539 ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง โดยขอให้มีการรับฟังข้อมูลเพิ่มเติมจากทั้งสองฝ่ายและจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการสอบสวนประมาณ 60 วัน หลังจากมีคำสั่งแต่งตั้งกรรมการ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติก่อนว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณะประโยชน์หรือไม่ หากผลการสอบสวนข้อเท็จจริงได้ข้อยุติแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงอยากให้ทุกฝ่ายนั้นหารือร่วมกันให้ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนรอบด้านเสียก่อน เพื่อนำไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาที่สามารถเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้อย่างเป็นธรรม

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา คณะผู้ตรวจการแผ่นดินและนายกิตติคุณ บุตรคุณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ยังได้ลงพื้นที่ ณ เทศบาลตำบลศรีสงคราม อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ร่วมประชุมแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนร่วมกับนายภูริวัจน์ โชดินพรัตน์ นายอำเภอวังสะพุง นายวุฒิชัย มัธยัสถ์สิน นายกเทศมนตรีตำบลศรีสงคราม ธนารักษ์พื้นที่เลย เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเลย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีเทศบาลตำบลศรีสงครามและอำเภอวังสะพุงไม่ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้บุกรุกทางสาธารณประโยชน์ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถเข้า – ออก ทางสาธารณะได้ โดยปัญหาในพื้นที่เป็นการก่อสร้างกำแพงซีเมนต์ ความสูงประมาณ 1.8 เมตร ปิดกั้นทางสาธารณะ รวมถึงลำห้วยสาธารณประโยชน์ที่อยู่ในแนวเดียวกันความยาวประมาณ 500 เมตร ซึ่งหลังจากการประสานงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน อำเภอวังสะพุงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเทศบาลตำบลศรีสงครามได้ยื่นคำขอรังวัดตรวจสอบทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว จากการตรวจสอบพบว่าเป็นทางสาธารณะจริง จึงได้มีการออกคำสั่งให้ผู้ถูกร้องเรียนทำการรื้อถอนกำแพงให้แล้วเสร็จ ทั้งนี้ จากการประชุมหารือร่วมกันล่าสุดได้ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากผู้ที่ก่อสร้างกำแพงว่ามีการยินยอมแลกเปลี่ยนที่ดินกันระหว่างตนกับชาวบ้านในพื้นที่ จึงต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอกสารการแลกเปลี่ยนที่ดิน รวมถึงประวัติความเป็นมาของทางสาธารณะดังกล่าว ดังนั้น เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงเสนอให้จังหวัดเลยและอำเภอวังสะพุงแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาขึ้นใหม่อีกครั้งเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงตลอดจนเอกสารหลักฐานให้ปรากฏถูกต้องครบถ้วนก่อนที่จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป โดยผู้ตรวจการแผ่นดินได้ย้ำให้ทั้ง 3 ฝ่ายร่วมกันพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องและแนวทางการดำเนินการตามคำสั่งเดิม ซึ่งจะทำให้กระบวนการ ขั้นตอนดำเนินการไปอย่างถี่ถ้วนมากขึ้นและเป็นไปตามกฎหมายอีกด้วย