กรณี มีผู้บุกรุกและยึดครอง ตลอดจนก่อสร้างโรงเรือน และสิ่งปลูกสร้างในที่สาธารณประโยชน์ ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน บริเวณหาดเลพังถึงหาดลายัน

ที่สาธารณประโยชน์ถือเป็นที่ดินที่ทางราชการได้จัดให้หรือสงวนไว้เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันตามสภาพแห่งพื้นที่นั้น หรือที่ดินที่ประชาชนได้ใช้หรือเคยใช้ประโยชน์ร่วมกันมาก่อนไม่ว่าปัจจุบันจะยังใช้อยู่  หรือเลิกใช้แล้วก็ตาม เช่น ที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ ป่าช้าฝังและเผาศพ ห้วย หนอง ที่ชายตลิ่ง ทางหลวง ทะเลสาบ เป็นต้น ตามกฎหมายถือว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ใดจะเข้ายึดถือครอบครองเพื่อประโยชน์แต่เฉพาะตนนั้นไม่ได้  เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามที่ระเบียบและกฎหมายกำหนดไว้ หากฝ่าฝืนจะมีความผิดและได้รับโทษตามประมวลกฎหมายที่ดินหรือกฎหมายอื่นที่กำหนดไว้โดยเฉพาะพนักงานเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้บุคคลได้ใช้ประโยชน์ในที่สาธารณะเพื่อประโยชน์แห่งตนได้ ก็เฉพาะกรณีที่มีระเบียบและกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะเท่านั้น เช่น การอนุญาตขุดดินลูกรังหรือการอนุญาตดูดทรายเป็นต้น

สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตว่าได้รับความเดือดร้อนจากกรณีที่มีผู้บุกรุกและยึดครอง ตลอดจนก่อสร้างโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างในที่สาธารณประโยชน์ ที่  ประชาชนใช้ร่วมกัน บริเวณหาดเลพังถึงหาดลายัน หมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 6 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต จำนวน 178 ไร่ ส่งผลให้ราษฎรในพื้นที่ไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ โดยได้มีการยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง แต่จนถึงปัจจุบันการแก้ไขปัญหาดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งที่ศาลฎีกาได้มี คำพิพากษาในประเด็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวแล้ว ส่งผลให้ราษฎรในพื้นที่และทางราชการได้รับความเสียหาย

ต่อมา ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สอบสวนลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริง พร้อมเข้าร่วมประชุมหารือแนวทางแก้ไขการปัญหาตามเรื่องร้องเรียนร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง  โดยที่ประชุมได้มีมติร่วมกันว่า ตามคำพิพากษาศาลฎีกาและคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติแล้วว่าที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกันและยังไม่มีข้อเท็จจริงใหม่มาหักล้างข้อเท็จจริงเดิมอย่างสิ้นเชิง จนส่งผลให้สามารถกลับคำพิพากษาของศาลฎีกาได้ หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบในการดำเนินการ  รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินแปลงพิพาทดังกล่าว จึงสามารถดำเนินการรื้อถอนบังคับคดีต่อไปได้ และสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้จัดทำรายงานการประชุมและจัดส่งมติที่ประชุมดังกล่าว ขอให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้

  1. ขอให้จังหวัดภูเก็ตเร่งรัดดำเนินการรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินแปลงพิพาทให้แล้วเสร็จโดยเร่งด่วน โดยค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นั้น องค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเลได้จัดสรรงบประมาณสามารถสนับสนุนการดำเนินการบังคับคดีได้ในทันที
  2. ขอให้จังหวัดภูเก็ตมอบหมายให้อำเภอถลางและองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล ประสานกับสำนักงานบังคับคดีจังหวัดภูเก็ต กำหนดวันและเวลาในการเข้าบังคับคดีรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินแปลงพิพาทตามคำพิพากษาของศาลฎีกาโดยเร็ว ซึ่งอาจแจ้งให้ผู้ครอบครองที่ดินแปลงพิพาทตลอดจนบริวารทราบ และให้ดำเนินการรื้อถอนหรือขนย้ายให้แล้วเสร็จก่อนกำหนดการเข้ารื้อถอนบังคับคดีก็ได้
  3. ขอให้จังหวัดภูเก็ตมอบหมายให้อำเภอถลางและองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการจัดทำบัญชีข้อมูลทรัพย์สินที่อยู่ในที่ดินแปลงพิพาท และจัดหาสถานที่เพื่อจัดเก็บทรัพย์สิน ที่รื้อถอนตามหมายบังคับคดีระหว่างรอเจ้าของกรรมสิทธิ์มารับทรัพย์สินคืน

จังหวัดภูเก็ตได้ดำเนินการตามมติที่ประชุมข้างต้น โดยให้ให้สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต สาขาถลาง องค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเลและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับสำนักงานบังคับคดีจังหวัดภูเก็ตดำเนินการปิดประกาศแจ้งกำหนดการรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินไว้ ณ บริเวณดังกล่าวหากเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามประกาศฯ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการรื้อถอน สิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สิน

ทั้งนี้ ภายหลังจากการปิดประกาศบังคับคดีดังกล่าวแล้ว ผู้บุกรุกยังมิได้มีการดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปภายในกำหนดเวลาตามประกาศฯ แต่อย่างใด

ต่อมา เจ้าหน้าที่ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้เดินทางไปร่วมสังเกตการณ์การบังคับคดีรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ตามคำร้องเรียน ซึ่งเป็นที่สาธารประโยชน์สำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน พบว่า ศาลจังหวัดภูเก็ตได้มีหมายบังคับคดีให้ผู้บุกรุกขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนที่ดินของรัฐ และส่งมอบที่ดินดังกล่าวคืนในสภาพเรียบร้อย แต่ผู้บุกรุกมิได้ดำเนินการดังกล่าวภายในกำหนด จังหวัดภูเก็ตและสำนักงานบังคับคดีจังหวัดภูเก็ต ตลอดจนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจึงได้ดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามหมายบังคับคดีจนแล้วเสร็จในวันที่ 30 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา และได้ใช้อำนาจตามกฎหมายดำเนินการขับไล่ผู้บุกรุกที่เหลือออกจากบริเวณดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ตลอดจนมีคำสั่งประกาศห้ามเข้ามาในพื้นที่ รวมทั้งได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง .. 2535 โดยแจ้งให้บุกรุกที่เหลือซึ่งเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปภายในเวลาที่กำหนด หากไม่ดำเนินการจังหวัดภูเก็ตและองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล จะใช้อำนาจตามกฎหมายดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เหลือต่อไป

           ผู้ตรวจการแผ่นดินได้พิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า จังหวัดภูเก็ตและสำนักงานบังคับคดีจังหวัดภูเก็ตตลอดจนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดภูเก็ต โดยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขับไล่กลุ่มบุคคลซึ่งบุกรุกที่สาธารณประโยชน์บริเวณหาดเลพังถึงหาด ลายัน หมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 6 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต จำนวน 178 ไร่ เรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น กรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องร้องเรียนที่ได้รับการแก้ไขความเดือดร้อนอย่างเหมาะสมแล้ว ตามมาตรา 37 (6) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงพิจารณาวินิจฉัยให้ยุติเรื่องร้องเรียน

อนึ่ง ภายหลังจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขับไล่กลุ่มบุคคลออกจากบริเวณที่สาธารณประโยชน์สำหรับประชาชนใช้ร่วมกันเรียบร้อยแล้ว ที่ดินบริเวณดังกล่าวจะมีสภาพเป็นที่ดินว่างเปล่า ซึ่งอาจส่งผลให้มีกลุ่มบุคคลเข้ามาบุกรุกก่อสร้างโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอันอาจส่งผลให้เกิดประเด็นข้อพิพาทขึ้น อีกได้ในอนาคต ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันรักษาที่ดินสาธารณประโยชน์ ให้เป็นทรัพยากรธรรมชาติและสาธารณสมบัติของแผ่นดินอย่างยั่งยืน ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 22 (2) ประกอบมาตรา 32  แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 เสนอแนะให้หน่วยงานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังต่อไปนี้

1. ขอให้กรมที่ดินเร่งรัดพิจารณาดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) บริเวณหาดเลพัง หมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 6 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต จำนวน 178 ไร่ ทั้งนี้ การออกหนังสือสำคัญสำหรับ ที่หลวงดังกล่าวเป็นไปเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์และเพื่อการพัฒนาที่ดินบริเวณดังกล่าว ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไป

2. ขอให้จังหวัดภูเก็ตร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล นำงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร หรืออุดหนุนขององค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล ดำเนินการพัฒนาบริเวณที่ดินดังกล่าวเป็นสวนสาธารณะ และสวนสุขภาพ  โดยดำเนินการปลูกต้นไม้   ปรับภูมิทัศน์ รวมทั้งจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ออกกำลังกาย มาติดตั้ง  เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจและใช้ประโยชน์ร่วมกันอันเป็นการป้องกัน การบุกรุกและใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามเจตนารมย์ของทางราชการต่อไป